รวมบทสวดมนต์ | Dark mode
บทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร
เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง
ภะคะวา พาราณะสิยัง
วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเยฯ
ข้าพเจ้าได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า
ในสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสีฯ
ตัตระ โข ภะคะวา
ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิฯ
ในกาลครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือนสติเหล่า
ภิกษุปัญจวัคคีย์ให้ตั้งใจฟัง และพิจารณาตามพระดำรัสของพระองค์อย่างนี้ว่าฯ
เทวเม ภิกขะเว อันตา
ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรพชิตไม่ควรปฏิบัติให้หนักไปในส่วนที่สุด ๒ อย่าง คือ
โย จายัง กาเมสุ
กามะสุขัลลิกานุโยโค ฮีโน
คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
การประพฤติปฏิบัติตนเพื่อแสวงหาความสุขอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัสที่น่ารักน่าปรารถนา ซึ่งเป็นธรรมอันเลว
เป็นเหตุให้ต้องมีบ้านเรือน
เป็นธรรมของคนผุ้ครองเรือนผู้หนาไปด้วยกิเลส
ไม่ใฝ่ธรรมอันจะนำจิตใจออกจากกิเลส
ไม่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติ
เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย นี่อย่างหนึ่ง
โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค
ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ
และอีกอย่างหนึ่ง คือ การประพฤติปฏิบัติ
ด้วยการทรมานร่างกายให้ได้รับความลำบาก
ซึ่งมีแต่ทำให้ใจเป็นทุกข์ทรมานอย่างเดียว
ไม่เป็นทางนำจิตใจออกจากกิเลส
และไม่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติ
เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจท้งหลาย ฯ
(หรืออีกนัยหนึ่งคือ เร่งหักโหมปฏิบัติธรรมจนเกินกำลัง เพื่อหวังจะได้บรรลุมรรคผลเร็วๆ)
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ
อันเต อะนะปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตได้รู้ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง
โดยไม่เข้าไปใกล้ส่วนที่สุด ๒ อย่างนั้นแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ
อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางนั้น สามารถทำดวงตาคือ
ปัญญา ทำญาณเครื่องรู้ ให้เป็นไปเพื่อใจสงบระงับจากกิเลส
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี และเพื่อทำให้กิเลสดับไปจากจิตคือเข้าสู่พระนิพพานฯ
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา
ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ
อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง
ซึ่งสามารถทำดวงตาคือ ปัญญา ทำญาณเครื่องรู้
ให้เป็นไปเพื่อใจสงบระงับจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี
และเพื่อให้กิเลสดับไปจากจิตคือเข้าสู่พระนิพพาน
ที่ตถาคตรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่งนั้น คือการปฏิบัติอย่างไร?
1/5 : Solution is ..
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโคฯ
ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางนี้ คือ
ทางนำไปสู่ความไกลจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย มี ๘ อย่าง ฯ
เสยยะถีทัง
ข้อปฏิบัติเหล่านี้คือ
- สัมมาทิฏฐิ
ปัญญาอันเห็นชอบ ( คือ เห็นอริยสัจ )
- สัมมาสังกัปโป
ความดำริชอบ ( คิดจะออกจากกาม ไม่คิดอาฆาต
พยาบาท ไม่คิดเบียดเบียน )
- สัมมาวาจา
วาจาชอบ ( ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ
ไม่พูดคำส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล )
- สัมมากัมมันโต
การงานชอบ ( เว้นจากการทุจริต เช่น
โกงแรงงานเขาเป็นต้น และทำการงานที่ไม่มีโทษ )
- สัมมาอาชีโว
การเลี้ยงชีวิตชอบ ( หากินโดยไม่ผิดกฎหมาย
ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ผิดประเพณี )
- สัมมาวายาโม
ความเพียรชอบ ( เพียรละชั่ว ประพฤติดีเพื่อให้มี
คุณธรรมประจำใจ และเพื่อให้ได้คุณธรรมสูงยิ่งๆ ขึ้นไป )
- สัมมาสะติ
การระลึกชอบ ( ระลึกนึกถึง อนุสสติ ๑๐ ประการ
มีพระนิพพานเป็นที่สุด และระลึกในมหาสติปัฏฐาน ๔ )
- สัมมาสะมาธิ ฯ
การตั้งจิตไว้ชอบ ( การทำสมาธิให้อารมณ์ตั้งมั่น
ในอนุสสติ ๑๐ ประการนั้น หรือกล่าวโดยย่อ
มรรค ๘ ประการนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา )
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ
อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางเหล่านี้แล คือ
ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง ซึ่งสามารถทำดวงตาคือ
ปัญญา ทำญาณเครื่องรู้ ให้เป็นไปเพื่อใจสงบระงับจากกิเลส
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี
และเพื่อทำให้กิเลสดับไปจากจิตคือเข้าสู่พระนิพพาน
ที่ตถาคตรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สภาวะเหล่านี้แลเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง คือ
- ชาติปิ ทุกขา
ความเกิดก็เป็นทุกข์
- ชะราปิ ทุกขา
เมื่อความแก่เข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์
- มะระณัมปิ ทุกขัง
เมื่อความตายเข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์
- โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ
โทมะนัสสุก ปายาสาปิ ทุกขา
เมื่อความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจเกิดขึ้นมา ก็เป็นทุกข์
- อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
เมื่อประสบพบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์
- ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
เมื่อพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์
- ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
และแม้คิดปรารถนาอยากได้สิ่งใด แต่ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ก็เป็นทุกข์
- สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขาฯ
กล่าวโดยย่อแล้วก็คือ การหลงคิดว่าร่างกายเป็นของเรานั่นแล
เป็นตัวทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว
ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุด
ที่มีอยู่ในใจนี้แลเป็นต้นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริง
โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา
ตัตระ ตัตราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา
คือ มีความอยากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป
และมีความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัสที่น่าปรารถนา ก็เป็นเหตุให้ใจเกิดทุกข์
ภะวะตัณหา
สิ่งใดที่ยังไม่มี ก็คิดอยากจะให้มีขึ้นมา
อย่างนี้ก็ทำให้ใจเกิดทุกข์
วิภะวะตัณหา
และเมื่อมีทุกอย่างแล้ว ก็อยากจะให้ทุกอย่างคงอยู่ตลอดไป
เมื่อมันจะต้องสลายหายไป ก็ร้อนใจไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ใจเกิดทุกข์หนักขึ้นอีกฯ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง
โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ
จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดับตัณหาความอยากให้หมดไปจากใจ
ด้วยการ ละ วาง ปล่อย และไม่คิดยินดีพัวพันอยู่กับตัณหา
ความอยากนั้นอีกเด็ดขาด คือ การดับทุกข์ให้หมดไปจากใจได้อย่างแท้จริงฯ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว
ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก
มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต
สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม
สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติเพื่อนำกิเลสให้หมดไปจากใจนี้
มี ๘ อย่าง คือ ปัญญาเห็นชอบ ความดำริชอบ
วาจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ
ความเพียรชอบ การระลึกชอบ และการตั้งจิตไว้ชอบ
คือ ข้อปฏิบัติเพื่อนำใจให้หมดจากกิเลสและดับความทุกข์ได้แท้จริงฯ
2/5 : Wisdom see ..
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาคือ ปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ความหยั่งรู้เหตุผล
ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง
ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราอย่างนี้ว่า
"ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก
ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจ
เป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง
ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล
ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง
ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า
"ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้เป็นต้น
อันเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริงนั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ตลอดเวลา"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง
ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือ ปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล
ตลอดถึงความรู้แจ้งและความมีใจสว่าง
ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า
"ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้เป็นต้น
อันเป็นตัวทุกข์อย่งแท้จริงนี้นั้นแล เราได้หยั่งรู้ด้วยปัญญาโดยตลอดแล้ว"
อิทัง ทุกขะสุมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง
และความมีใจสว่างในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า
"ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจนี้
เป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงฯ"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง
ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง
และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า
"ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ
อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล
เป็นสิ่งที่ต้องละให้ขาด"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง
ปะฮีนันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรมและการกำหนดรู้
ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง
ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า
"ตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดที่มีอยู่ในใจ
อันเป็นเหตุทำให้ใจเกิดทุกข์อย่างแท้จริงนี้นั้นแล
เราได้ละขาดไปจากใจแล้ว"
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล
ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง
ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า
"การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้
ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง
สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล
ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง
ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า
"การดับตัณหาคือความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้
ให้หมดไปจากใจ คือ การดับทุกข์ได้
อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้งในใจตลอดเวลา"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง
สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง
และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วว่า "การดับตัณหาคือ
ความอยากไม่มีสิ้นสุดนี้ให้หมดไปจากใจ คือ
การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล
เราได้ทำให้แจ้งในใจอยู่ตลอดเวลาแล้ว"
อิทัง ทุกขะนิโรธคามินี ปะฏิปะทา
อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล
ตลอดถึงความรู้แจ้ง และความมีใจสว่าง
ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า
"มรรคคือทาง ๘ ประการ เป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริง"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา
อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง
และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า
"มรรคคือทาง ๘ ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติ
ให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล
เป็นธรรมที่ต้องทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลา"
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา
อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ดวงตาคือปัญญาเห็นธรรม
และการกำหนดรู้ ความหยั่งรู้เหตุผล ตลอดถึงความรู้แจ้ง
และความมีใจสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ได้เกิดขึ้นในปัญญาของเราแล้วอย่างนี้ว่า
"มรรคคือทาง ๘ ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไป
จากใจได้อย่างแท้จริงนี้นั้นแล เราได้ทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลาแล้ว"
3/5 : Conclusion ...
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง
ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง
ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริง ๔ อย่าง
อันทำให้ใจไกลจากกิเลสนี้ ถ้าหากเรายังไม่รู้เห็น
ตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ
ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ
( อาการ ๑๒ รอบนี้ เรียกว่า ญาณ ๓ คือ
1. สัจจญาณ : การหยั่งรู้ให้ทราบชัด
ในความจริงแต่ละอย่างในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ว่าเป็นทุกข์แท้จริง, ตัณหาคือเหตุเกิดทุกข์แท้จริง,
การดับตัณหาคือการดับทุกข์ได้แท้จริง,
มรรคคือ ทาง ๘ ประการเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับไปจากใจได้อย่างแท้จริง
2. กิจจญาณ : การหยั่งรู้ให้ทราบชัดว่า
จะต้องทำอย่งไรกับความจริงแต่ละอย่างนั้น ว่า
ตัวทุกข์ควรต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา, ตัณหาต้องละให้ขาด,
การดับตัณหาเป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้งในใจตลอดเวลา,
มรรค ๘ เป็นธรรมที่ต้องทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลา และ
3. กตญาณ : การหยั่งรู้ว่าได้ทำหน้าที่ทุกอย่างในความจริง
แต่ละอย่างนั้นได้โดยบริบูรณ์แล้ว คือ ทุกข์รู้ด้วยปัญญาโดยตลอดแล้ว,
ตัณหาได้ละขาดไปจากใจแล้ว, การดับตัณหาได้ทำให้แจ้งในใจตลอดเวลาแล้ว,
มรรค ๘ ได้ทำให้มีในใจไว้ตลอดเวลาแล้ว)
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก
สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา
ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ
อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง
อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิงฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอยืนยันแก่มนุษยโลก
ตลอดถึงเทวโลก มารโลก พรหมโลก รวมทั้งหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ให้ได้รู้เพียงนั้น ว่าเราได้ตรัสรู้พร้อมยิ่งซึ่งปัญญา
เครื่องตรัสรู้โดยชอบอันยอดเยี่ยม
ซึ่งไม่มีความตรัสรู้อื่นในโลกใดๆ หรือ ของใครๆ จะเทียบได้ฯ
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว
อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง
ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง
ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล
ความจริง ๔ อย่ง อันทำให้ใจไกลจากกิเลสนี้
เราได้รู้เห็นตามความเป็นจริง
โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบ
ทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ
ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์หมดจดแล้วฯ
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก
สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา
ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิงฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น
เราจึงกล้าประกาศยืนยันแก่มนุษยโลก
ตลอดถึงเทวโลก มารโลก พรหมโลก รวมทั้งหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ให้ได้รู้เฉพาะว่า เราได้ตรัสรู้พร้อมยิ่งซึ่งปัญญาเครื่อง
ตรัสรู้โดยชอบอันยอดเยี่ยม ซึ่งไม่มีความตรัสรู้อื่นในโลกใดๆ
หรือของใครๆ จะเทียบได้
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ
อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา
ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติฯ
ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแก่เราแล้วว่า
"กิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย
ไม่สามารถจะกำเริบขึ้นมาได้อีกแล้ว
จิตของเราได้หลุดพ้นจากกิเลสโดยวิเศษแล้ว
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว ไม่มีภพเป็นที่เกิดสำหรับเราอีกแล้ว"
4/5 : Phenomenon ..
อิทะมะโวจะ ภะคะวาฯ
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงความจริง
๔ อย่างอันประเสริฐ
อันทำให้ใจไกลจากกิเลสอย่างนี้แล้ว
อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุงฯ
พระภิกษุปัจจวัคคีย์เหล่านั้น ก็มีความเพลิดเพลินยินดี
ในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วนั้น
อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน
ก็ในเมื่อขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าว
แสดงความละเอียดพิศดารแห่งความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการอยู่นั่นแล
อายัสมะโต โกณทัญญัสสะ วิระชัง
วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ
"ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง
สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ"
ดวงตาคือ ปัญญาอันเห็นธรรม ซึ่งปราศจากธุลี
ปราศจากมลทิน ได้เกิดแล้วแก่ท่านโกณทัญญะ
ผู้มีอายุอย่างนี้ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว
สิ่งนั้น ๆ ทั้งปวง ก็ต้องดับสลายไปเป็นธรรมดา"
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก
ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงประกาศวงล้อแห่งธรรมให้เป็นไปแล้วนั่นแล
ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
ภูมิเทวดาทั้งหลาย ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้นว่า
"เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง
อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตรัง
ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง
สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา
มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ"
"นั่นคือ วงล้อแห่งธรรมอันยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรเทียบได้
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว
ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี
ซึ่งวงล้อแห่งธรรมอย่างนี้ อันสมณพราหมณ์
ตลอดถึงเทวดา มาร พรหม และใครๆ ในโลก
ไม่สามารถให้เป็นไปได้"
ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราช
ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าภูมิเทวดาแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น
จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่า
ชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น
ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทพเจ้าเหล่าชั้นยามา ได้ฟังเสียงของ
เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น
ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตได้ฟังเสียงของเทพเจ้า
เหล่าชั้นยามาแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น
ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดี
ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น
นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ
เทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดีแล้ว ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้น
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สังทัง สุตวา
พรัหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
เทพเจ้าเหล่าที่เกิดในหมู่พรหม
ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัตตีแล้ว
ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้นว่า
"เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง
อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง
ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง
สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา
เทเวนะ วา มาเรนะ วา
พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติฯ"
"นั่นคือ วงล้อแห่งธรรมอันยอดเยี่ยม
ไม่มีอะไรเทียบได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ใกล้เมืองพาราณสี ซึ่งวงล้อแห่งธรรมอย่างนี้
อันสมณพราหมณ์ ตลอดถึง เทวดา มาร พรหม
และใครๆ ในโลก ไม่สามารถให้เป็นไปได้"
อิติหะ เตนะ ขะเณนะ
เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ
พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ
และโดยขณะเดียวเท่านั้น
เสียงก็ดังขึ้นไปถึงพรหมโลกด้วยอาการอย่างนี้
อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ
สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ
และเสียงนี้ได้สะท้านสะเทือนหวั่นไหว
ดังสนั่นไปตลอดทิศทั้ง ๔ ทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุฯ
อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร
โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ
เทวานัง เทวานุภาวังฯ
อีกทั้งแสงสว่างอันใหญ่ยิ่งไม่มีประมาณ ได้ปรากฏแล้วในโลก
ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลายเสียหมด
5/5 : Complete
อะถะ โข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ
"อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญ
อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญติ"
ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า
"โกณทัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ
โกณทัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ"(อัญญาสิ : ได้รู้แล้ว)
อิติหิทัง อายัสมะโต โกณทัญญัสสะ
"อัญญาโกณทัญโญ" เตววะ นามัง อะโหสีติฯ
เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานขึ้นมา
อย่างนี้แล นามว่า "อัญญาโกณทัญญะ" นี้นั่นแหละ
ได้มีแล้วแก่พระโกณทัญญะผู้มีอายุ ด้วยประการฉะนี้ แลฯ
กลับสู่หน้ารวมบทสวด